พฤศจิกายน 21, 2024

หมดยุค DVD เข้าสู่ยุค UltraViolet

กลุ่มผู้ถือหุ้นในอุตสาหกรรมบันเทิงกำลังจะเปลี่ยนแนวทางในการชมรายการโทรทัศน์และซื้อภาพยนตร์ด้วยฟอร์แมทใหม่ นั่นคือ Ultraviolet ซึ่งจะมาแทนที่ DVD  โดยขณะนี้มีการรวมกลุ่มเป็น consortium ซึ่งเรียกว่า Digital Entertainment Content Ecosystem หรือ DECE ซึ่งสมาชิกส่วนหนึ่งประกอบด้วย Warner Bros.Entertainment ,Netflix,Microsoft,Hewlett-Packardและ Best Buy ซึ่งเห็นตรงกันที่จะกำหนดมาตรฐานและสเป็คเพื่อรองรับคอนเทนต์ให้สามารถเล่นได้บนอุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองซึ่งเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า UltraViolet นั่นเองDECE ได้ประกาศแนวทางนี้ในงาน 2011CES ที่ลาสเวกัสโดยคาดหวังว่าบรรดาบริษัทต่างๆที่ได้รับ license UltraViolet จะเริ่มเปิดตัวโปรดักท์และให้บริการได้ในซัมเมอร์นี้ และคาดหวังว่าจะได้เห็นการบริการและการใช้ UltraViolet ในอังกฤษและแคนาดาภายในปลายปีนี้เช่นกัน  ด้วยความเชื่อว่าถ้าเราเชื่อว่า DVD กำลังถึงจุดอิ่มตัวและเริ่มล้าหลังแล้ว ก็ถึงเวลาสำหรับ UltraViolet ที่จะกลายมาเป็นฟอร์แมทใหม่สำหรับโฮมวิดีโอในช่วงต่อไป  

                ข้อดีของ UltraViolet ก็คือผู้ใช้สามารถที่จะได้รับสิทธิในภาพยนตร์หรือรายการโทรทัศน์อย่างยาวนานตลอดชีพและสิทธิในคอนเทนต์เหล่านั้นก็สามารถถ่ายโอนจากโปรไวเดอร์ผู้ให้บริการรายหนึ่งไปยังอีกรายหนึ่งได้อย่างง่ายดายหากเจ้าของต้องการโอนย้ายหรือในกรณีที่การบริการของโปรไวเดอร์รายใดยุติลง  ทำให้เจ้าของไม่ต้องกังวลว่าภาพยนตร์หรือคอนเทนต์ของตนจะสูญหายหรือเสียหายอีกต่อไปเพราะคอนเทนต์เหล่านั้นสามารถจะเข้าไปดูได้ผ่านทางโทรทัศน์ที่เชื่อมต่อกับเว็บหรือ Web-connected TV  , handheld, set-top box หรือคอมพิวเตอร์ DECE กล่าวว่าครอบครัวต่างๆซึ่งใช้ UltraViolet จะสามารถสร้าง account ให้กับสมาชิกภายในครอบครัวได้ถึง 6 คนที่จะสามารถเข้าไปดูภาพยนตร์จาก Ultra Violet  รายการทีวี หรือความบันเทิงในรูปแบบอื่นๆได้ โดยผู้บริโภคยังสามารถลงทะเบียนใช้อุปกรณ์ในการเล่นคอนเทนต์ได้ถึง 12 อุปกรณ์ ซึ่งจะช่วยทำให้การดาวน์โหลดคอนเทนต์จากอุปกรณ์ตัวหนึ่งไปยังตัวอื่นๆทำได้ง่าย  

                ปัญหาเดียวก็คือคอนเทนต์เหล่านั้นจะถูกบริหารจัดการด้วยลิขสิทธิ์ดิจิตอลโดยมีการออกแบบซอฟต์แวร์ขึ้นมาเพื่อป้องกันการก็อปปี้โดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งทาง DECE จะเป็นผู้ดูแลในเรื่องนี้ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาทันทีว่าผู้สร้าง UltraViolet กำลังพยายามที่จะล็อคคอนเทนต์สำหรับผู้บริโภคทั่วไปอีกครั้ง ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่าปกติอินเตอร์เน็ตก็ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถควบคุมมีเดียทั้งการแชร์ภาพยนตร์ดิจิตอล เพลงและหนังสือได้บ่อยครั้งตามที่ต้องการและเล่นบนอุปกรณ์ที่พวกเขาต้องการใช้ได้อยู่แล้ว  

                 ไมเคิล โรเบิร์ตสัน ซึ่งบุกเบิกด้านเทคโนโลยีมานานรวมถึงเป็นผู้ให้บริการ MP3.com และคลุกคลีกับคอนเทนต์ดิจิตอลมาเกือบ 10 ปีเป็นอีกคนหนึ่งที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ  UltraViolet   เขากล่าวว่าเขาคิดว่ายุคของความพยายามที่จะบังคับผู้บริโภคให้ใช้ฟอร์แมทและมาตรฐานตามที่กำหนดนั้นได้หมดลงแล้ว เพราะขณะนี้เราอยู่ในโลกซึ่งผู้ใช้อยู่ห่างจาก BitTorrent แค่คลิกเดียวในการได้ก็อปปี้ภาพยนตร์คุณภาพสูงที่สามารถเล่นบนเครื่องเล่นใดก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นฟอร์แมทหรือมาตรฐานของ UltraViolet  ซึ่งโดยความจริงมีการตั้งข้อกำหนดและข้อจำกัดอยู่ ทั้งที่ผู้บริโภคมีอำนาจมากกว่านั้นเยอะ

แต่เรื่องนี้มิทช์ ซิงเกอร์ หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของ Sony Pictures ซึ่งเป็นหนี่งในสมาชิกของ DECE กล่าวว่าโดยความจริงแล้วไม่ได้มีการสมรู้ร่วมคิดเพื่อที่จะควบคุมผู้บริโภคแต่อย่างใด แต่ UltraViolet  ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้การเก็บ การดูและการถ่ายโอนหนังและรายการทีวีทำได้ง่ายขึ้นเช่นเดียวกับที่ DVD เคยทำมาก่อน พร้อมกับย้ำด้วยว่าประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นแล้วว่าการขาดมาตรฐานที่เปิดกว้างหรือ open standard มีแต่จะทำร้ายผู้บริโภค  

                แบร์รี่ แม็คคาร์ธี  CFO ของ Netflix ซึ่งอยู่ในตำแหน่งนี้มาถึง 10 ปีจนกระทั่งออกจากบริษัทไปเมื่อเดือนที่แล้ว เคยคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วว่าจำเป็นจะต้องมีการสร้างฟอร์แมทและมาตรฐานสำหรับการดูภาพยนตร์ทางเว็บ และน่าจะเกิดขึ้นหลังยุค DVD   เขากล่าวว่า DVD คือโปรดักส์สำหรับผู้บริโภคที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์หากวัดในแง่ของการเจริญเติบโต ตัวอย่างเช่นอัตราการเจริญเติบโตของ DVD ในสหรัฐที่ใช้เวลาเพียง 5 ปีก็เข้าถึงครัวเรือนอเมริกันถึง 50 เปอร์เซ็นต์  DVD ถือเป็น open platform  ซึ่งหมายถึงมีหนี่งแสตนดาร์ดซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้ผลิต ดังนั้นทุกคอนเทนต์จึงสามารถใส่ลงใน DVD   ในขณะที่การดูภาพยนตร์ทางเว็บในขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดฟอร์แมทหรือแสตนดาร์ด    ตัวอย่างเช่น Apple ก็มีอุปกรณ์ของตัวเองแต่ก็สื่อสารหรือพูดกับเว็บไซด์ของ Apple เท่านั้น  เช่นเดียวกับแอ็พพลิเคชั่นของ Netflix ก็คุยได้เฉพาะเว็บไซด์ของ Neflix เท่านั้น  

                ความเป็นจริงซึ่งขณะนี้ค่ายบันเทิงหลายค่ายทั้ง Sony,Time Warner,Viacom และ News Corp. ยอมรับแล้วก็คือยอดจำหน่าย DVD กำลังลดลงเรื่อยๆ  โดยเมื่อสิ้นสุดไตรมาสเมื่อ 31 ธันวาคม  Paramount Pictures  พบว่ารายได้จากวิดีโอลดลงถึง 44 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านี้  และเดี๋ยวนี้ประชาชนไม่นิยมให้ DVD เป็นของขวัญในโอกาสสำคัญๆอีกแล้ว  

                เป็นเวลา 20  ปี ที่ DVD และเทประบบ VHS ซึ่งมาก่อนหน้า DVD ได้กลายเป็นแหล่งทำรายได้มหาศาลสำหรับค่ายภาพยนตร์  ยอดขาย  DVD เคยแซงหน้ายอดขายตั๋วภาพยนตร์ระหว่างปี 2002-2009  แต่ในช่วงหลังนี้ความสนใจของผู้บริโภคหันไปใช้บริการบันเทิงทางเว็บมากขึ้นรายงานของ Box office.com ระบุว่ายอดขายตั๋วภาพยนตร์เมื่อปี 2010 อยู่ที่ 10,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่ามี 2009 ที่อยู่ที่ 10,700 ล้านดอลลาร์โดยการให้บริการซื้อตั๋วทางออนไลน์ช่วยเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น  แต่ทั้งๆที่ปีที่แล้วมีภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมมากกว่าปี 2009 แต่รายได้น้อยกว่า วิเคราะห์กันว่าน่าจะเป็นเพราะผลพวงจากวิกฤติเศรษฐกิจ ถึงอย่างนั้นผู้บริโภคก็ยังคงเก็บเงินเพื่อไปชมภาพยนตร์ในโรงมากกว่าจะตัดสินใจซื้อ DVD  

                ตรงข้ามกับผลประกอบการของ Netflix  ซึ่งให้บริการเช่าวิดีโอโดยมีการส่ง DVD ให้กับสมาชิกรวมถึงการ stream หนังและรายการโทรทัศน์ผ่านเว็บ ซึ่งปรากฏว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว มีสมาชิกเพิ่มขึ้น 3 ล้านคน คาดว่าเป็นเพราะความนิยมในบริการ streaming ที่เพิ่มสูงขึ้น  

                ปัจจุบัน Netflix มีสมาชิกประมาณ 20 ล้านคน โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 60 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นหากฮอลลีวู้ดต้องการรู้ว่าเงินจาก DVD หายไปไหน คงต้องเริ่มหันไปดู Netflix  ซึ่งอาจจะพบคำตอบได้ไม่ยากว่าทำไม Netflix ถึงเติบโตได้เติบโตดี  เหตุผลก็เพราะ Netflix ให้ทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบาย การควบคุมและราคาที่ถูก  เพราะด้วยค่าใช้จ่ายเพียง 7.99 ดอลลาร์ต่อเดือน ลูกค้าของ Netflix ก็สามารถเข้าถึงบริการ stream คอนเทนต์ได้หมด  

                NBC Universal ซึ่งเป็นเจ้าของ Universal Studios เป็นอีกหนึ่งในค่ายบันเทิงฮอลลีวู้ดที่ให้เอ็กซ์คลูซีฟแก่ HBO สำหรับการเผยแพร่ทางออนไลน์  ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจหากพบว่ามีภาพยนตร์บางเรื่องหายไปจากบริการวิดีโอของ Apple ,Amazon และ Netflix  เพราะเมื่อมีการฉายภาพยนตร์ใหม่ๆทาง HBO  ก็จะได้สิทธิ์เอ็กซ์คลูซีฟในการเผยแพร่ทางออนไลน์ ทำให้หนังเรื่องนั้นไม่ปรากฏในช่องทางที่เคยปรากฏแต่ไปปรากฏในช่องอื่น    HBO ได้ทำข้อตกลงนี้กับ 3 ค่ายยักษ์ใหญ่ด้านบันเทิงซึ่งก็คือ Warner Bros, 20th Century Fox และ NBC Universal  

                 แต่อนาคตของ UltraViolet อาจจะไม่สวยนักเพราะขณะนี้ Apple และ Disney ยังไม่ได้ลงนามที่จะยอมรับฟอร์แมทและแสตนดาร์ดดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามว่าจะเป็นข้อตกลงที่ดีได้อย่างไรในเมื่อผู้บริโภคไม่สามารถดูหนังจากผู้ให้บริการที่มีลูกค้ามากที่สุดอย่าง iTune ของ Apple ซึ่งบูรณาการไปถึง iPhone และ iPad  ดังนั้นถ้าจะให้ UltraViolet ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางก็จะต้องทำให้หนังที่ซื้อจาก iTune สามารถเล่นได้บนฟอร์แมทของ UltraViolet ได้

ที่มา : http://www.telecomjournal.net